วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

Requiem for a Dream (2000)

บทวิจารณ์นี้ตัดมาจาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=merveillesxx&group=1&month=12-2004&date=29&gblog=58
(บทวิจารณ์นี้เขียนดีแต่ มีการเปิดเผย เรื่องราวบางส่วนของหนัง (Spoil) ถ้าไม่อยากเสียอรรถรสในการชม ควรไปดูหนังก่อนแล้วค่อยกลับมาอ่านนะครับ)



Requiem for a Dream – บทสวดศพแด่ฝันและวันที่สิ้นสลาย


โดย merveillesxx

บทโหมโรง ~Prologue~


หลังจากหนังอินดี้สุดดังอย่าง Pi (1998) ผู้กำกับวิสัยทัศน์เยี่ยมอย่าง ดาเรน อารอนอฟสกี้ ก็ทำให้เราต้องทึ่งอีกครั้งกับ Requiem for a Dream (2000) หนังที่สรรค์สร้างแรงสั่นสะเทือนเข้าไปลึกถึงแก่นกาย ถึงส่วนลึกของจิตใจ อันเป็นภาพที่ติดตาฝังใจ ชวนให้เอาไปคิดคำนึงไตร่ตรอง และแม้ยามหลับฝันภาพนั้นก็ยังตราตึงมิจางหาย


4 ชีวิตที่เกี่ยวพันกันในเรื่องนั้น ล้วนถูกร้อยเรียงให้มีจุดร่วมรวมกันที่ทุกตัวละคร “เสพติด” บางสิ่งบางอย่าง ซาร่า (เอลเลน เบิร์นสตีน - ได้เข้าชิงออสการ์ดารานำหญิง) หญิงม่ายเข้าวัยชราที่ต้องอยู่บ้านอย่างโดดเดี่ยว สามีก็ตายจากไป ลูกชายก็ไม่ยอมกลับบ้าน ผู้หญิงที่ต้องในภาวะอ้าวว้างและเปล่าเปลี่ยว เธอจึงติดทีวีไปโดยปริยาย


แฮรี่ (แจเร็ต เลโท) ลูกชายของซาร่า กับแฟนสาว แมเรียน (เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ – กับบทที่กล่าวได้ว่า “แรงที่สุด” ในชีวิตการแสดง ว่ากันว่าออสการ์ให้รางวัลสมบทหญิงแก่เธอจากเรื่อง A Beautiful Mind เพื่อเป็นการแก้ตัวที่ดันลืมให้เธอเข้าชิงจากเรื่องนี้) และไทรอนเพื่อนของเขา ทั้งสามล้วนติดยางอมแงมสารพัดอย่าง ชนิดว่าเล่นยาทุกวันไม่เคยขาด เหมือนเป็นงานอดิเรกทั่วไป เพียงแต่มันมีค่าจ่ายที่ “แพง” กว่า


…อีกหนึ่งจุดร่วมที่ทั้งสี่มีร่วมกันก็คือ “ความฝัน”


อารอนอฟสกี้ ให้สัมภาษณ์ว่าหนังของเขาไม่ได้เพียงต้องการแสดงถึงการ “เสพติด” ยา มันอาจจะรวมถึงการเสพติดสิ่งอื่น ๆ อย่างเช่น ทีวี, กาแฟ, สื่อ ฯลฯ ดังนั้นอีกสิ่งที่สี่กำลังเสพติดและมัวเมาไปกับมันก็น่าจะเป็น “ความฝัน”


ซาร่าถูกหลอกว่าจะได้ออกทีวี เธอฝันจะใส่ชุดสีแดงจนยอมกินยาลดความอ้วน ชุดสีแดงที่ใส่ในงานรับประกาศนียบัตรของลูกชายและสามีกล่าวชมว่าเธอสวยที่สุดในชุดนั้น เธอฝันอยากจะออกทีวี อยากให้ทุกคนยอมรับ อยากให้ทุกคนรู้ว่าลูกชายของเธอประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีคนรักที่ดี (ซึ่งน่าขันว่ามันตรงข้ามกับความจริงทั้งมวล) และที่เธอเน้นย้ำอยู่ตลอดเวลาคือเธออยากให้สามีที่ตายไปแล้วได้รับรู้ว่าเธอกับลูกชายมีชีวิตที่ดี คงจะไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่าอีกสิ่งที่เธอเสพติดก็คือ “อดีต” อันสวยงาม


แฮรี่และไทรอนฝันจะร่ำรวย (ทางลัด) จากการขายยาเสพติด ทั้งสองมีจุดที่คล้ายกันคือลึก ๆ แล้วพวกเขาอยากจะทำให้แม่ภาคภูมิใจ ต่างกันว่าแม่ของแฮรี่ยังอยู่เป็นตัวเป็นตนให้เห็น ให้ทำให้เป็นจริงได้ ส่วนแมเรียนฝันอยากจะมีชีวิตอย่างอิสระเสรีพ้นจากกรอบของพ่อแม่ อยากมีร้านตัดเสื้อ และที่สุดแล้วเธอน่าจะฝันที่มีชีวิตรักที่สวยงามร่วมกับแฮรี่


แต่ความฝันทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพียงความฝันลมๆแล้งๆ และเป็นความฝันอันมักง่าย … ซึ่งย้อนกลับมาทำร้ายผู้คนที่อยู่ในโลกแห่ง “ความจริง” ในรูปของ “ฝันร้าย” !!


ในช่วงแรกของหนัง (Summer) ฤดูร้อนอันอบอุ่น ชีวิตที่สดใส (แม้จะเปิดเรื่องด้วยภาพอันน่าขันและขื่นใจที่ซาร่าต้องคอยไปไถ่ทีวีที่ร้านจำนำคืน แต่ ณ ห้วงเวลานั้นเธอก็ยังยิ้มได้อย่างมีสุข) หนังบอกเล่าชีวิตของทั้งสี่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ ซาร่าลดน้ำหนักได้ถึง 25 ปอนด์ เมื่อทุกคนเพื่อรู้ว่าเธอจะได้ออกทีวี เธอจึงกลายเป็นที่รักของเพื่อนบ้าน ได้นั่งตำแหน่งที่ดีที่สุดเวลาอาบแดด (ซึ่งทำให้เธอรู้สึกถึงการเป็น “คนสำคัญ” และ “คนที่มีตัวตน”)


กิจการขายยาของแฮรี่และไทรอนไปได้สวย เงินสะพัดหมุนเวียนให้ใช้ไม่ขาดมือ มียาให้เล่นจนชุ่มปอด แถมแฮรี่ยังมีเงินให้แมเรียนเปิดร้านตัดเสื้อได้สมใจ ชีวิตรักของทั้งสองแสนหวานชื่น ผู้กำกับยังได้ใส่แง่มุมความรักในแบบเด็กๆเข้าไป (แต่ตามจริงตอนที่ถ่ายหนังเรื่องนี้ พระนางของเรื่องก็อายุปาเข้าไปจะ 30 อยู่แล้ว) ดังเช่น ฉากที่แมเรียนแกล้งป่วนให้สัญญาณเตือนภัยในตึกดังขึ้น แต่ทั้งสองกลับวิ่งหนีกันอย่างสนุกสนาน และฉากโรแมนติกชวนฝันอย่างฉากที่ยืนคุยกันบนดาดฟ้า หรือฉากที่นั่งคุยกันริมทะเล พร้อมกับที่แฮรี่บอกเล่าว่าเขาจะซื้อชุดทีวีเป็นของขวัญให้แม่ … แต่อีกฉากที่เหมือนจะดูเสียดสีและเย้ยหยันถึงความรักของทั้งสองคือฉากที่ทั้งสองเสพยาแล้วนอนพร่ำบอกว่ารักกัน มุมกล้องจากเบื้องสูง หมุนล่องลอยไปมา น่าจะบอกเล่าถึงสัมพันธภาพที่เคว้งคว้างของคนคู่นี้ (ซึ่งทั้งเนื้อหาและภาพคล้ายคลึงกับเอ็มวีเพลง You only tell me you love me when you’re drunk ของ Pet Shop Boys มากทีเดียว อีกทั้งเราจะได้เห็นภาพลักษณะเดียวกันนี้ในเรื่อง Twentynine Palms)


จุดพลิกผัน (และคือ “จุดพลิกฝัน” ด้วย) คือเมื่อแก็งค์ยาเสพติดของพวกแฮรี่ทำธุรกิจด้วยถูกถล่มยับ ส่วนไทรอนก็ถูกจับเข้าซังเต จากนั้นหนังจึงตัดช่วงฤดูใบไม้ร่วง (Fall) นัยจะบอกว่าเป็นจุดที่ตัวละครจะถึงกาลร่วงโรยและตกต่ำ


หลังจากประกันตัวไทรอนออกมา ทั้งสามก็ตกในภาวะขาดเงินและขาดยา ความสัมพันธ์ของแฮรี่กับแมเรียนเริ่มจะดิ่งลงเหวทันที เมื่อตกกลางคืนแมเรียนเสี้ยนยาจัด จนชวนให้แฮรี่ใช้ยาชุดสุดท้ายไป แต่เมื่อตื่นเช้ามากลับบอกว่าแฮรี่เป็นคนเริ่มชวนก่อน ทั้งคู่จึงมีปากเสียงกัน จนในที่สุดแฮรี่บอกให้แมเรียนไปนอนกับจิตแพทย์ของเธอเพื่อแลกกับเงิน


ถือเป็นฉากที่น่าจดจำ เมื่อแมเรียนกลับมา เธอกลับมาในสภาพที่กายยังอยู่ แต่ร่างนั้นไร้วิญญาณ ส่วนแฮรี่นั้นจ้องมองดูทีวีด้วยสายที่ว่างเปล่า สีหน้าที่บ่งบอกถึงความละอายใจและเสียใจ เมื่อแมเรียนนั่งบนโซฟา ทั้งสองนั่งในระยะห่างกัน เกิดเป็น “ช่องว่าง” ระหว่างทั้งคู่ ภาพตรงนี้สื่อความได้ดีเพราะแม้ช่องว่างนั้นจะดูเล็กน้อย แต่ผู้ชมก็รู้สึกได้ถึงช่องว่างอันกว้างใหญ่ในจิตใจของทั้งสอง ทำให้เรารู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป จึงถือเป็นภาพที่ปวดร้าวยิ่งนัก


ชีวิตของทั้งคู่ยิ่งดำดิ่งลงเหวลึกเมื่อแฮรี่ไม่สามารถหายามาให้แมเรียนได้ เสียงด่าทอ ถ้อยคำอันหยาบคาย กลบฝังมิดซึ่งความรักที่เคยมีให้กัน จนในที่สุดด้วยโทสะที่ระเบิดปะทุออกมา แฮรี่ให้เบอร์คนที่จะยาแก่แมเรียนไป โดยสิ่งที่ต้องเอาเข้าแลกไม่ใช่เงิน แต่เป็นร่างกายและ “ศักดิ์ศรี” ของตัวเองเธอเอง … เป็นความเจ็บช้ำอีกครั้งในฉากที่แมเรียนจ้องมองรูปที่ทั้งสองถ่ายร่วมกันในวันวาน นั่นเป็นอดีตที่ปวดร้าว แต่ปัจจุบันนั้นกลับยิ่งกว่าเพราะผู้กำกับก็พลิกผันชะตากรรมของตัวละครเมื่อแมเรียนพลิกหลังรูปมาเจอเบอร์ที่แฮรี่เขียนให้ อันเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตก้าวเดินสู่ “วงจรอุบาทว์” ที่ไม่มีวันลบล้าง ดังเช่นที่เธอต้องกรีดร้องอย่างเจ็บช้ำในขณะที่แช่น้ำล้างมลทินที่ไม่มีวันเลือนหายไปจากชีวิต


ส่วนซาร่าก็ไม่ต่างกัน ผลจากยาลดความอ้วนทำให้เธอเริ่มเสียสติ ได้ยินเสียงประหลาด ภาพที่มองเห็นก็บิดเบี้ยว ตู้เย็นเคลื่อนไหวเองได้ ตัวละครในทีวีกลับมาโลดแล่นในห้องของเธอ ภาพที่เธอวิ่งอยู่กลางถนนอย่างกระเซอะกระเซิงในชุดแดงที่ได้ใส่สมใจ จึงดูน่าสมเพชเวทนาและน่าสะเทือนใจเป็นยิ่งนัก


หลาย ๆ ฉากในข้างต้นจึงเป็นข้อพิสูจน์ว่า อารอนอฟสกี้ นั้นเป็นผู้กำกับที่โดดเด่นมากในการกำกับ “ภาพ” และ “เสียง”


เพลงประกอบที่นำเพลงอิเล็กโทรนิกกับออเครสต้ามาผสมกันได้อย่างลงตัว การใช้เสียงบรรยายสภาพ-ความรู้สึกของตัวละคร หรือเสียงกระตุ้นเร้าที่ทำให้เรากลัวตู้เย็นไป 3 วัน !!


ภาพการเปลี่ยนแปลงของตัวละครทางกายภาพที่ทรุดโทรมลง (โดยเฉพาะเบิร์นสตีลที่โทรมจนเหลือเชื่อ) หรือทางจิตใจที่ตัวละครแสดงออกทางใบหน้าว่ามีความทุกข์อันหนักหน่วงอยู่ในใจ หรือที่เรียกว่า “ตายทั้งเป็น” (โดยเฉพาะในแมเรียน) การให้ตัวละครแมเรียนอย่างต้องแต่งหน้าทาตาในโทนสีดำอันเหมือนเป็นนัยที่เธอต้องการปกปิดอย่างสิ่งบางอย่าง เช่นเดียวกับที่แฮรี่ต้องใส่เสื้อปกปิดรอยแผลจากการใช้ยา


ยังมีอีกมากมายเช่น ฉากที่ประมวลภาพกิจการขายยาที่ไปได้สวย พร้อมกับตัดต่อภาพจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว, การแบ่งจอเป็น 2 ฟากในฉากแรกที่ตัวละครหนึ่งอยู่ในห้อง อีกตัวหนึ่งอยู่นอกห้อง ทำให้เรารับรู้ถึงความกดดันของฝ่ายที่อยู่ให้ห้อง และในฉากที่แฮรี่กับแมเรียนสื่อความความรักกันด้วยผัสสะทางกาย ที่แสดงถึงการสื่อความรู้สึกได้เหมือนจริงและสวยงาม (ถ้าดูใน Delete Scene จะมีฉากที่ตัวละครทั้งสามพยายามจะไม่ใช้ยา จากนั้นภาพจะจับที่ตาของทั้งสามที่แสดงความรู้สึกต่าง ๆ ออกมา ซึ่งฉากนี้โดดเด่นมาก)


และฉากการใช้ยาเสพติดที่ตัดภาพตั้งแต่การวิธีการใช้ การฉีด การที่ยาวิ่งเข้าไปในเส้นเลือด รูม่านตาที่ขยายออก น่าสังเกตว่าในกระบวนการใช้ยานั้นผู้กำกับตัดต่อภาพอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับเหตุการณ์จริงต่าง ๆ ที่ตัวละครต้องเผชิญ นัยเป็นสารที่จะบอกว่าความเพ้อฝันด้วยฤทธิ์ของยานั้นมันแสนสั้น แต่ฝันร้ายในโลกแห่งความเป็นจริงมันยาวนาน


เหนือสิ่งอื่นใด แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างในเรื่องจะดูเป็นความฝัน แต่ผมก็เชื่อว่ายังมีสิ่งที่เป็นความจริง นั่นก็คือ “ความรัก” ไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่างแม่-ลูกของซาร่ากับแฮรี่ หรือไทรอนกับแม่ของเขา, ความรักรักระหว่างเพื่อนอย่างแฮรี่กับไทรอน และความรักของคนรักอย่างแฮรี่และแมเรียนที่แม้จะถูกสั่นคลอนและไร้ความมั่นคง แต่ในฉากที่แฮรี่โทรไปหาแมเรียน เธอถามเขาว่าจะกลับมาเมื่อไร แฮรี่ตอบว่า “Soon” (เร็วๆนี้) เธอย้ำถามอีกครั้ง เขาก็ยังตอบว่า Soon หากแต่ตอบด้วยน้ำเสียงที่ปวดร้าวเพราะมันคงไม่มีวันนั้น วันที่จะกลับไปร่วมใช้ชีวิตด้วยกัน แมเรียนรอวันนั้นไม่ได้เธอจึงต้องเลือก “ทาง” ที่ก้าวต่อไป


ภาพหนึ่งที่ปรากฏในหนังคือภาพแมเรียนในชุดแดงยืนเกาะรั้วอยู่ ณ ที่หนึ่ง ที่ซึ่งดูสุขสงบและเปี่ยมด้วยความสุข หากแต่ภาพนั้นเป็นเพียงแค่โลกในอุดมคติที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง ที่สุดแล้วแฮรี่พบว่าแมเรียนไม่ได้อยู่ ณ ที่ตรงนั้น (ดังที่บอกกับพยาบาลว่า “เธอไม่มาหรอก”) เขาก้าวถอยหลัง ตกสู่ห้วงเหวอันมืดมิดและดำมืด แต่ก็ยังมิวายที่จะตะโกนก้องชื่อคนรัก …


บทส่งท้าย ~epilogue~


ฤดูหนาวอันแสนจะหนาวเหน็บ (Winter) ชีวิตของตัวละครได้มาถึงจุดที่ตกต่ำที่สุด ผู้กำกับยังคงแสดงความแม่นยำในการควบคุมจังหวะ การใช้ภาพที่สอดคล้อง ด้วยเพลงโหมกระพือ การตัดภาพอันรวดเร็วถึงชีวิตทั้งสี่ การให้ฉากสั่นสะเทือน ผู้ชมได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดของตัวละคร และขณะเดียวกันรู้สึกประสาทหลอนกับไปตัวละครที่อยากยาด้วย (ดังเช่นที่ผู้กำกับทำสำเร็จมาแล้วใน Pi กับการที่เรารู้สึกปวดหัวไปกับพระเอกของเรื่อง)


ณ วันที่ฝันดับสลาย ตัวละครทั้งสี่ก็ยังตกอยู่ในห้วงฝันต่อไป


ซาร่าฝันว่าได้ออกทีวี


ไทรอนฝันถึงอ้อมกอดของแม่


แมเรียนนอนกอดยาที่ได้มา เพ้อฝันถึงการจะได้เสพมัน


ส่วนแฮรี่แม้จะตื่นจากฝัน แต่เขาก็ยังคงอยู่ในฝันร้าย


บทเพลงส่งท้ายบรรเลงขึ้น เป็นดั่งบทเพลงสวดศพของวันฝันสิ้นสลาย และเป็นบทโหมโรงของวันฝันร้ายต่อไป…




They held each other and kissed and pushed each other’s darkness into the corner, believing in each other’s light, each other’s dream – Hubert Selby Jr.


ข้อมูลเพิ่มเติม


http://www.requiemforadream.com
http://www.imdb.com/title/tt0180093/
Cinemag ฉบับที่ 165 (15 July 2001) - บทวิจารณ์ Requiem for a Dream โดย ปริเยศ คุ้มฉายา
Bioscope ฉบับที่ 32 (กรกฎาคม 2547) - เรื่องของ Hubert Selby Jr. ผู้เขียนนิยาย Requiem for a Dream




Create Date : 29 ธันวาคม 2547
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2548 18:57:22 น. 5 comments
Counter : Pageviews. Add to


______________________________________________________________


Comment No.1


ความเห็นจากเวบ bioscope


อ่านแล้วหนักแน่น มีอ้างอิง ด้วย ครับ
จากคุณ : บอย บ้า : - [ 01 กย. 2004 18:16:34 ]




ยังไม่ได้ดูครับ
แต่ชอบที่คุณเขียน
:)
จากคุณ : เจ้าชายน้อย : - [ 19 กย. 2004 09:25:38 ]




เขียนได้ดีมากๆเลยครับ
จะรออ่านบทวิจารณ์คุณไปเรื่อยๆนะ
จากคุณ : lakari : - [ 19 ธค. 2004 14:43:10




Comment No.2
เพิ่งได้ดูเรื่องนี้ เลยมาเซิร์จหาข้อมูล
อยากบอกว่า ไม่เคยดูหนังเรื่องไหนแล้วรู้สึกพะอืดพะอมได้มากเท่าเนี้มาก่อนเลยในชีวิต...แม้แต่หนังฆาตกรรมโรคจิตที่ว่าสุด ๆ แล้ว ..
แต่เรื่องนี้พอดูจบถึงกับต้องวิ่งไปอ้วกในห้องน้ำ เพราะว่าทนไม่ไหวจริง ๆ...ตอนนี้ก็ยังปวดหัวอยู่เลย -*-
โดย: 11pm IP: 222.123.9.213 วันที่: 26 กันยายน 2551 เวลา:21:44:50 น.


Comment No.3
หนังแรงมาก ดูจบแฟนต้องกินยาคลายเครียด
ไม่งั้นนอนไม่หลับ
แต่ผมชอบนะเข้าถึงแก่นของตัวละครได้ดีจิงๆ
กำกับได้เยี่ยมมาก
บทแม่พระเอกเล่นดีจนน่ากลัว
อยากรู้จริงๆว่าปีนั้น เข้าชิงแล้วไม่ได้โดนใครเบียดจากเรื่องอะไร ...
โดย: ป๊อด IP: 61.91.165.89 วันที่: 3 สิงหาคม 2552 เวลา:1:47:51 น.


Comment No.4
ผมชอบหนังเรื่องนี้มากครับ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม ไม่เหนมีกระแสตอบรับในประเทศเลย หนังเรื่องนี้ได้เข้าโรงหรอเปล่า หรือว่าโดนกองเซนเซอแบรนซะก่อน
ถ้าพวกเค้าแบรนหนังเรื่องนี้จริง ผมบอกได้คำเดียวว่าโครตโง่ ผมอยากให้เอาหนังเรื่องนี้ไปฉายให้เยาวชน เด็กไทยดู และเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากจะไปลองโค้กแน่นอน
โดย: poomboonz IP: 125.27.143.83 วันที่: 7 สิงหาคม 2552 เวลา:23:30:22 น.


Comment No.5
ชอบเพลงของเรื่องนี้มาก
โดย: godzilla14750 IP: 222.123.206.173 วันที่: 2 ตุลาคม 2552 เวลา:20:22:24 น.